ประเด็นเรื่องการลดค่าเงินและความเป็นไปได้ในการที่มาตรฐานทองคำจะฟื้นตัวเป็นประเด็นที่ได้รับการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง โดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้ให้สนับสนุนระบบเงินตราที่มีพื้นฐานจากราคาทองนั้นลืมนึกถึงข้อด้อยของระบบดังกล่าวไปโดยสิ้นเชิง ข้อเสียที่โดดเด่นข้อหนึ่งก็คือการที่ยังไม่มีตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามมาตรฐานระบบทองคำนี้เองที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดตลาด Forex
สัมผัสกับความแตกต่าง
ตลาด Forex เป็นตลาดสำหรับการซื้อขายระยะสั้น โดยนักลงุทนจะได้กำไรจากค่าส่วนต่างของการผันผวนทางราคา ระยะเวลาสูงสุดในการซื้อขายในตลาด Forex คือเพียงไม่กี่เดือน ในขณะที่การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อาจยืดยาวเป็นเวลา 5-7 ปี
หลักการของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศเป็นการกระจายอำนาจ ธนาคารแต่ละแห่งก็จะทำการซื้อขายโดยใช้โปรแกรมซอฟท์แวร์ที่แตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่แล้วบุคคลไม่สามารถเข้าสู่ตลาด Forex ด้วยตัวเองได้เนื่องจากมาตรฐานของปริมาณในการซื้อขายในตลาดดังกล่าวจะแตกต่างกันไปตั้งแต่ระดับ $100,000 ไปจนถึง $1 ล้านดอลล่าร์ ดังนั้นจึงต้องมีตัวกลางในการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตที่จะเชื่อมระหว่างธนาคารและนักลงทุน
ค่าเงินทุกสกุลจะต้องถูกเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐ โดยที่ค่าเงินแต่ละค่าจะมีจำนวน 4 หลักหลังจุดทศนิยม ยกตัวอย่างเช่นค่าของคู่สกุลเงิน EUR/USD จะมีลักษณะดังนี้ 1.2836. การเปลี่ยนแปลงค่าเงินตามมาตรฐานมักจะเปลี่ยนทีละ 1 จุดโดยเริ่มจากหลักที่สี่
อัตราการแลกเปลี่ยน 1.2836 หมายถึงว่านักลงทุนจะต้องจ่ายเงินจำนวน $128,360 เพื่อซื้อเงิน 100,000 ยูโร หากราคาเปลี่ยนแปลงไป 1 จุด ลูกค้าจะต้องใช้เงิน $128,370 เพื่อซื้อเงินยูโรในปริมาณเท่ากัน ซึ่งก็คือต้องเพิ่มเงินอีก 10 ดอลล่าร์
เนื่องจากเทคโนโลยีในสมัยนี้มีการพัฒนาขึ้นมาก จึงทำให้เกิดอัตราการแลกเปลี่ยนที่มี 5 หลักหลังจุดทศนิยมขึ้น โดยระบบอัตราแลกเปลี่ยนนี้จะเพิ่มความเที่ยงตรงและลดความเสี่ยงในการเกิดความผิดพลาดเมื่อเข้าสู่ตลาด โดยลูกค้าของเรา บริษัท InstaForex นิยมระบบอัตราการแลกเปลี่ยนทั้งสองรูปแบบดังที่กล่าวมานี้
อัตราการแลกเปลี่ยนทางตรงและทางอ้อม( Cross rates )
อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศจะถูกนำมาอิงกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามเทอร์มินัลที่ใช้ในการซื้อขายบางอันก็อาจมีทั้งอัตราการแลกเปลี่ยนทางตรงและทางอ้อม โดยอัตราการแลกเปลี่ยนทางตรงคือการเสนออัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่างๆ เที่ยบกับ 1 USD โดยสัญลักษณ์การซื้อขายของค่าเงินต่างประเทศนั้นมีค่าเป็นตัวเศษ ในขณะที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐมีค่าเป็นตัวหาร
มูลค่าของคู่สกุลเงิน EUR/USD คือการแลกเปลี่ยนเงินดอลล่าร์สหรัฐกับเงิน 1 ยูโร ค่าดังกล่าวจะแสดงว่านักลงทุนจำเป็นต้องใช้เงินกี่ดอลล่าร์สหรัฐเพื่อซื้อเงิน 1 ยูโร ซึ่งวิธีการดังกล่าวเรียกว่าอัตราการแลกเปลี่ยนทางตรง ตัวอย่างอื่นๆของอัตราแลกเปลี่ยนทางตรงก็เช่นการแลกเปลี่ยน GBP/USD (ปอนด์กับดอลล่าร์สหรัฐ ), AUD/USD (ดอลล่าร์ดออสเตรเลียกับดอลล่าร์สหรัฐ), และ NZD/USD (ดอลล่าร์นิวซีแลนด์กับดอลล่าร์สหรัฐ) เมื่อนักลงทุนซื้อสกุลเงินในรูปแบบนี้ ถือเป็นการซื้อสกุลเงินต่างชาติ ในขณะที่ขายเงินดอลล่าร์สหรัฐ แต่ในทางตรงกันข้ามหากนักลงทุนขาย ก็จะเป็นการขายสกุลเงินต่างชาติเพื่อซื้อดอลล่าร์สหรัฐ
อัตราแลกเปลี่ยนทางอ้อมคือการเสนออัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน USD โดยเทียบกับสกุลเงินต่างชาติ 1 หน่วย ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐมีสัญลักษณ์เป็นตัวเศษ ในขณะที่ค่าเงินต่างชาติมีสัญลักษณ์เป็นตัวหาร ตัวอย่างเช่นคู่สกุลเงิน USD/CAD คือการแลกเปลี่ยนเงินดอลล่าร์สหรัฐโดยใช้เงินดอลล่าแคนาดา โดยจะเป็นค่าที่กำหนดว่านักลงทุนจะต้องใช้เงินกี่ดอลล่าร์แคนนาดาเพื่อแลกซื้อเงิน 1 ดอลล่าร์สหรัฐ ตัวอย่างของอัตราแลกเปลี่ยนทางอ้อมอื่นๆเช่นคู่สกุลเงิน USD/JPY (ดอลล่าร์สหรัฐกับเยน), USD/SEK (ดอลล่าร์สหรัฐกับโครน สวีเดน), และ USD/CHF (ดอลล่าร์สหรัฐกับฟรังก์สวิส) ในการซื้อ นักลงทุนซื้อดอลล่าร์สหรัฐแต่ขายค่าเงินต่างชาติ ในทางตรงกันข้ามเมื่อนักลงทุนขาย เขาจะขายเงินดอลล่าร์สหรัฐเพื่อซื้อค่าเงินต่างชาติ
อัตราแลกเปลี่ยนข้ามสกุลเงินคือการแลกเปลี่ยนค่าเงินต่างชาติสกุลหนึ่งเป็นค่าเงินต่างชาติอีกสกุล เนื่องจากค่าเงินต่างชาตินั้นต้องทำการแลกเปลี่ยนโดยอิงกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ อัตราแลกเปลี่ยนข้ามสกุลเงินจะเป็นตัวแสดงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินต่างชาติผ่านแท่งปริซึมของค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐเป็นหลัก อัตราแลกเปลี่ยนข้ามสกุลเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือค่าเงินเยนและฟรังก์สวิส ตัวอย่างเช่น EUR/JPY (ค่าเงินยูโรกำหนดค่าเงินเยน), GBP/JPY (ค่าเงินปอนด์กำหนดค่าเงินเยน), CHF/JPY (ค่าเงินฟรังก์สวิสกำหนดค่าเงินเยน), GBP/CHF (ค่าเงินปอนด์กำหนดค่าเงินฟรังก์สวิส), และ EUR/CHF (ค่าเงินยูโรกำหนดค่าเงินฟรังก์สวิส)
ในปี2554 ธนาคารกลางของประเทศสวิสเซอร์แลนด์กดค่าเงินฟรังก์ไว้ที่ 1.20 CHF ต่อ 1 ยูโร ท้ายที่สุดตลาดค่าเงินฟรังก์ก็ล่ม ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนข้ามสกุลเงินของค่าเงินต่างชาติถูกกำหนดค่าโดยค่าเงินประจำประเทศสวิสเซอร์แลนด์
การคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนข้ามสกุลเงินทำได้โดยใช้สูตรดังต่อไปนี้ :
FOR/FOR = FOR/USD * USD/FOR, ในกรณีที่ FOR เป็นค่าเงินต่างชาติ.
ค่าเงินหลัก, สกุลเงินของประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการส่งออกสินค้าที่เป็นวัตถุดิบ (commodity currencies), และดัชนีดอลล่าร์สหรัฐ
สกุลเงินหลักจะประกอบไปด้วยสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ ยูโร ปอนด์อังกฤษ และเงินเยนญี่ปุ่น
สกุลเงินดอลล่าร์แคนาดา (CAD) และดอลล่าร์ออสเตรเลีย (AUD) ถือเป็นสกุลเงินที่มีอิทธิพลสูง แต่กลับมีการหมุนเวียนของเงินที่จำกัด โดยสกุลเงินทั้งสองเป็น commodity currencies ซึ่งจะสัมพันธ์โดยตรงต่อราคาวัตถุดิบต่างๆ ดอลล่าร์นิวซีแลนด์ก็ถือเป็นสกุลเงินที่อยู่ในกลุ่ม commodity currencies เช่นกัน
สกุลเงินรูเบิลของรัสเซีย (RUB), โครน สวีเดน (SEK), โครน นอร์เวย์ (NOK), โครน เดนมาร์ก (DKK), ดอลล่าร์สิงคโปร์ (SGD), ลีร่า ตุรกี (TRY), รูปี อินเดีย (INR), แรนด์ แอฟริกาใต้ (ZAR), วอน เกาหลีใต้ (KRW), และซโลว์ทิ โปลิชท์ (PLN) สกุลเงินเหล่านี้ถูกจัดว่าเป็นสกุลเงินที่มีความมั่นคง แต่การหมุนเวียนของเงินจะอยู่ในระดับภูมิภาคเพียงเท่านั้น
สกุลเงินหยวน (CNY) ที่ถูกกำหนดค่าโดยธนาคารกลางของประเทศจีนนั้นเป็นสกุลเงินที่ไม่สามารถแปลงสภาพได้อย่างอิสระ
ดัชนีค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐสะท้อนอัตราค่าเงินดอลล่าร์โดยเทียบกับสกุลเงินต่างชาติอื่น ดัชนี USD มีหลากหลายประเภทซึ่งจะถูกคำนวณโดยสูตรที่แตกต่างกัน ดัชนีค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐแบบดั้งเดิมจะแสดงเปอร์เซ็นราคาของค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ โดยเทียบกับค่าเงินหลักอื่นๆอีก 6 ประเภท เช่นค่าเงินยูโร เงินเยน เงินปอนด์อังกฤษ ดอลล่าร์แคนนาดา โครน สวีเดน และฟรังก์สวิส โดยในปี 2516 ราคาของค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐเท่ากับ 100% หากคุณต้องการเรียนรู้เรื่องคู่สกุลเงินให้มากขึ้น กรุณาเยี่ยมชมในส่วนรายละเอียดการตกลงซื้อขายในหน้าเว็ปไซต์ของทางบริษัท InstaForex
เคล็ดลับของInstaForex:
นักลงทุนมือใหม่ควรให้ความสนใจกับสกุลเงินหลักและ commodity currencies โดยคุณอาจค่อยๆเริ่มจากการศึกษาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนข้ามสกุลเงินและศึกษาค่าเงินที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเพื่อเก็บประสบการณ์ก่อน เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนข้ามสกุลเงินนั้นค่อนข้างซับซ้อนและค่าส่วนต่างสำหรับคู่สกุลเงินที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมนั้นค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตามคุณควรจดจำไว้เสมอว่าการซื้อขายค่าเงินนั้นเป็นการซื้อขายที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุดในระยะเวลาการซื้อขายของประเทศแถบยุโรปและอเมริกา ซึ่งก็คือจาก12:00 จนถึง 00:00 (UTC+4)
ค่า Leverage
ตลาด Forex นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินอยู่เสมอ การผันผวนทางราคารายอาทิตย์อาจอยู่ที่ราว 0.5%-2% ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางราคาดังกล่าวทำให้ง่ายต่อการใช้ค่า leverage มากขึ้น โดยตัวกลางในการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตจะได้รับราคาของอัตราแลกเปลี่ยนจากธนาคารชั้นนำของโลกในตลาด Forex ซึ่งธนาคารเหล่านั้นจะทำการปรับใช้ค่า leverage กับลูกค้าโดยประมาณที่ 1:1-1:500
ค่า leverage มาตรฐานในตลาด Forex คือ 1:100 โดยลูกค้าสามารถสร้างสถานะซื้อหรือขายด้วยจำนวนเงินไม่เกิน $100,000 เงินจำนวนนี้ถือว่ามากหรือน้อยล่ะ? อัตราแลกเปลี่ยนคู่สกุลเงิน EUR/USD อาจเปลี่ยนแปลงไป 100 จุดภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง ดังนั้นหากคุณทำการซื้อขายคู่สกุลเงินนี้โดยใช้ค่า leverage 1:100 คุณอาจจะได้กำไรหรือขาดทุนกว่า $1,000 ภายในเวลาเพียง 1 วัน ในการลดความเสี่ยงคุณสามารถลดขนาดค่า leverage ลงหรือไม่ก็ลดปริมาณ position ที่คุณเปิดเอาไว้ก็ได้
บริษัท InstaForex เป็นเพียงไม่กี่บริษัทที่เสนอให้ลูกค้าเปิดสถานะการซื้อหรือขายได้โดยใช้เงิน $10,000 ต่อ 1 lot ดังนั้นขนาดของการซื้อขายที่เล็กที่สุดจะอยู่ที่ $100 ค่าleverage 1:100 จะช่วยให้นักลงทุนสามารถฝากเงินเป็นจำนวนเท่าใดก็ได้โดยเริ่มจากเงินเพียง $1 ในกรณีนี้หากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเปลี่ยนแปลงไป 1 จุดก็จะเท่ากับว่าปริมาณเงินในบัญชีที่ฝากเอาไว้ก็จะเปลี่ยนไป 1 เซนต์
ลูกค้าสามารถทำการซื้อขายสกุลเงินUSD และ EUR ในบัญชี cent accountsได้ หากต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับบัญชีดังกล่าวเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชมที่หน้า "ประเภทของบัญชีที่ใช้ในการซื้อขาย"
เคล็ดลับของ InstaForex :
ค่า leverage ถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาด Forex กลายเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นลูกค้าที่เป็นนักลงทุนมือใหม่จึงไม่ควรฝากเงินขั้นต้นไว้เกินกว่ารายได้รวมสองอาทิตย์ของเขา ทางบริษัทขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้เงินกู้ยืม เงินออมเพื่อใช้ยามเกษียณอายุ เงินทุนสำหรับการศึกษาหรือการเช่าซื้อบ้านและอื่นๆในการซื้อขายกับเรา รวมถึงก่อนเปิด positions ด้วยปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นนั้น นักลงทุนมือใหม่ควรฝึกฝนการลงทุนในบัญชีตัวอย่างหรือ cent accountเสียก่อน เนื่องจากเราเชื่อว่าประสบการณ์จะเป็นตัวช่วยให้นักลงทุนมีโอกาสในการขาดทุนน้อยลง